‘สภาองค์กรของผู้บริโภค’ แฉ รัฐผลิตไฟล้นระบบ สร้าง ‘ภาระสัญญาทาส’

เครือข่ายพลังงานภาคประชาชน แฉ ต้นเหตุรัฐเดินหน้าผลิตไฟฟ้าล้นระบบ เปิดทางเอกชนได้กำไรมหาศาล ถือเป็นภาระสัญญาทาส แต่กลับโยนภาระค่าใช้จ่ายมาให้ประชาชน
นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการ สภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวว่า แผนกำลังผลิตไฟฟ้าที่ล้นเกินระบบ ทางเครือข่ายพลังงานภาคประชาชน ที่รวมตัวกัน ในนามเครือข่ายปฏิรูปพลังงานไทย รวมถึง สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้พยายามผลักดัน -ต่อสู้ นำเสนอต่อทุกรัฐบาลให้แก้ไขในเชิงระบบ แต่ปลายทางไม่เคยมีปฏิกิรยาตอบกลับให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้เกิดภาระ สร้างความเดือดร้อน ต่อประชาชน ที่เห็นชัดเจน เป็นรูปธรรม นั่นคือ ค่าไฟฟ้า ซึ่งกระโดดขึ้นมาที่ 3 บาทปลาย ๆ และจะพุ่งพรวดถึง 6 บาท ภายในปลายปีนี้ (2566 ) หากต้นทุนไม่ลด ยกตัวอย่างเช่น ประชาชน จ่ายค่าไฟฟ้า หน่วยละ 4-5 บาท
ดังนั้น หากใช้ไฟฟ้ารวมกันทั้งประเทศ เป็นจำนวนแสนล้านหน่วย เมื่อนำ 4 บาท คูณ 1 แสนล้านหน่วย เท่ากับ 4 แสนล้านบาทต่อปี ถือเป็นกระแสเงินสดชั้นดีที่รัฐบาล ไม่ยอมทิ้งเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ไม่ว่าผู้สนับสนุน คือ ธนาคาร, สถาบันการเงิน, กลุ่มปล่อยเงินกู้, รวมถึง อุตสาหกรรมกิจการไฟฟ้า ล้วนตอบสนองต่อผลประโยชน์จำนวนมหาศาล, ที่สำคัญยังเห็นผลประจักษ์อย่างเป็นรูปธรรม เช่น ผู้บริหารระดับสูงของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ก้าวกระโดดมารวยติดอันดับ 1 ของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ถือว่ามีเบื้องหลังบางสิ่งที่ภาคประชาชนมองไม่เห็น และยังเป็นตัวค้ำคอรัฐบาล เพราะแม้เป็นนโยบายที่ผิดพลาดและบกพร่อง ทั้ง ไฟฟ้าล้นเกินระบบ, แผนพลังงานผิดพลาด, การรับซื้อไฟฟ้าเกินตัว, ราคาสูงเกินควร, การไม่พยายามแสวงหาพลังงานหมุนเวียน แต่เมื่อมีผู้ทักท้วงโดยตลอดกลับทำเพิกเฉย
นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า อีกหนึ่งปมเงื่อนที่เป็นตัวการสำคัญ นั่นคือ “แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ หรือ PDP (Power Development Plan) ที่ต้องจัดหาพลังงานไฟฟ้าในระยะยาว 15 -20 ปี ทุกขั้นตอนจะมีกฎหมายรองรับแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจน ตั้งแต่ กระทรวงพลังงาน มาถึงหน่วยงานภายใต้สังกัด ได้แก่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.), สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ซึ่งขึ้นตรงกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.), การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แม้กระทั่ง ตัวเลขที่ว่าต้องมีพลังงานไฟฟ้า จำนวนเท่าไหร่ ก็ถูกตั้งเรื่องมาจาก สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวตามความต้องการของรัฐบาลที่ใช้หาเสียง
และที่สำคัญการจะผลิตไฟฟ้า หรือ เกิดโรงไฟฟ้าใหม่ เพื่อสานต่อระบบโรงไฟฟ้า จะถูกแถลงต่อรัฐสภา ด้วยข้อความ ที่กล่าวอ้างว่า “จะใช้นโยบายด้านความมั่นคงทางพลังงานเป็นสำคัญ” ประเด็นนี้สำคัญมาก เพราะรัฐบาล พุ่งเป้าความหมายที่ว่ามั่นคงเต็มที่แต่ไม่ยอมใช้คำว่ามั่นคงแบบพอเพียง หากเทียบให้เห็นชัด ๆ มั่นคงแบบพอเพียง ก็คือ “เกณฑ์สากลของปริมาณการผลิตไฟฟ้าสำรองไม่ควรเกินร้อยละ 15” รัฐบาลต้องผลิตไฟฟ้าไม่เกินจากนี้ แต่คำว่า “มั่นคงเต็มที่” ถูกกำหนดในแผน PDP 2018 (พ.ศ. 2561) ระบุไว้ชัดเจน “จะรักษาปริมาณไฟฟ้าสำรองไม่น้อยกว่าร้อยละ 15” นี่ถือเป็นการเล่นคำ ที่ทำให้ชาวบ้าน “จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน”
ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ ถึง 9 โรง แบ่งเป็น 4 โรง มีกำลังผลิตไฟฟ้า โรงละ 1,000 เมกะวัตต์ และอีก 5 โรง มีกำลังผลิตไฟฟ้า โรงละ 5,000 เมกะวัตต์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับการบิดเบือนมาตรฐานสากลที่กำหนดให้การผลิตไฟฟ้าของประเทศ ต้องไม่เกินร้อยละ 15 แต่รัฐบาลไทย กลับใช้คำว่า “ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 เพื่อผลิตไฟฟ้า” อันนี้คือ การเล่นกลทางภาษาในเชิงทางนโยบาย หรือ อาจจะพูดได้ว่าเป็นการฉ้อฉลทางนโยบาย และผลก็จะเกิดขึ้นแบบนี้ ก็คือ เป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงอย่างเกินตัว ขาดความยืดหยุ่น ไม่สามารถแปลงเปลี่ยน จนถึงปัจจุบันประเทศไทย มีอัตราไฟฟ้าสำรองถึงร้อยละ 55 แถม การทำสัญญากับโรงผลิตไฟฟ้าภาคเอกชน รัฐบาลยังกำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินที่ประกันความเสี่ยงให้ด้วย แต่กลับไม่กำหนดแผนประกันความเสี่ยงให้กับภาคประชาชน
สำหรับประเด็นที่ภาครัฐทำไฟฟ้าสำรองล้นระบบ แต่กลับโยนภาระให้ประชาชนต้องจ่าย ค่าไฟฟ้าที่แพงนั้น ยอมรับว่า ยังไม่มีทางปลดล็อกกับสัญญาเดิมซึ่งผูกพันโควตาการสร้างโรงไฟฟ้ารวมถึงการรับซื้อก๊าซธรรมชาติรวม 25 ปี ขึ้นไป ถือเป็น “ภาระสัญญาทาส” เพราะประชาชนต้องใช้ไฟฟ้า จึงถูกมัดมือชก ถึงแม้ภาคประชาชนพยายามขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องต่อสู้อย่างหนักมาก ดังนั้น เรื่องกิจการพลังงาน มีความไม่ปกติ อีกทั้ง อำนาจทางการเมืองอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงต่ออำนาจผลประโยชน์จำนวนมหาศาล โดยเฉพาะช่วงยุคที่โควิดระบาด เศรษฐกิจหลายด้านล้มระเนระนาด แต่กิจการกลุ่มเดียวที่ขยายตัวทำผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง นั่นคือ กิจการกลุ่มการพลังงาน
ข่าวแนะนำ : กนง.เพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ แตะ 25.5 ล้านคน หนุนเศรษฐกิจไทยฟื้นต่อ